2784 จำนวนผู้เข้าชม |
เที่ยวประเทศเบลเยียม ที่เลื่องลือว่าเป็นดินแดนสวรรค์ของผู้หลงใหลช็อกโกแลต ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน เราจะพบร้านขายช็อกโกแลตมายมายเต็มไปหมด นอกจากนี้แล้ว เบียร์ก็ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนึกถึงเมื่อมาเที่ยวที่ประเทศเบลเยียมเช่นกัน ที่นี่มีเบียร์รสเลิศให้เลือกมากกว่า 400 ชนิด หูยย คอเบียร์ ถ้ามาถึงเบลเยียมแล้วไม่ได้ลอง ถือว่าพลาดสุดๆ เลยจ้าา
สถาปัตยกรรมของประเทศเทศเบลเยียมก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งมรดกโลกเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะที่นี่มีสถาปัตยกรรมสวยงามจนได้รับยกย่องขึ้นเป็นมรดกโลกมากมาย ถ้ากำลังอยากรู้ว่าเป็นที่ไหนบ้าง เราไปทำความรู้จักกันเล้ยย
กรุงบรัซเซลส์ (Brussel)
ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ (Minnewater)
ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ (Minnewater) หรือมีชื่อเรียกอีกแบบว่า ทะเลสาบแห่งรัก (Lake of Love) เป็นสถานที่สุดโรแมนติก เหมาะสำหรับการเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวหรือคนที่คุณรัก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใจกลางเมืองบรูจส์ (Bruges) แต่กลับเงียบสงบและร่มรื่น ภายในจะพบกับบ้านเรือนริมน้ำที่มีลักษณะคล้ายกับหอคอยเรียงรายมากมาย และมีต้นวิลโลว์ที่พริ้วไหวไปมายามมีลมพัดผ่าน ทำให้ที่นี่เกิดความงดงามอันน่าทึ่ง ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยวอย่างมากมาย มีเรื่องเล่าว่า ทะลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากเรื่องราวของเด็กสาวสวยที่ชื่อ Minna ซึ่งพบรักกับนักรบหมู่บ้านใกล้เคียงชื่อ Stromberg แต่พ่อของเธอไม่เห็นด้วยกับความรักในครั้งนี้ จึงจัดให้แต่งงานกับชายที่เลือกไว้ให้ ทำให้ Minna เลือกที่จะหนีงานแต่งในครั้งนี้ เธอได้วิ่งหายเข้าไปในป่าลึก ชายหนุ่ม Stromberg ได้ออกตามหาหญิงสาว แต่ก็สายไปเสียแล้ว ภาพที่ชายหนุ่มเห็น คือ คนรักของเขานอนหมดแรงอยู่กลางป่า และเสียชีวิตในเวลาถัดไปในอ้อมแขนของเขาเอง ต่อมาชื่อของเธอถูกตั้งเป็นชื่อทะเลสาบและสะพานเพื่อเป็นเกียรติแก่ความรักอันยิ่งใหญ่เธอ ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งความรักสุดแสนโรแมนติกอีกสถานที่หนึ่งในประเทศเบลเยียม
สัญลักษณ์ของเมืองบรูจส์ คือ หงส์ ซึ่งจะพบได้มากมายที่ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ ในช่วงหน้าร้อน สถานที่แห่งนี้มักจะถูกใช้จัดคอนเสิร์ตเป็นประจำ ส่วนหน้าหนาว ทะเลสาบมินนีวอเตอร์จะกลายเป็นน้ำแข็ง และต้นไม้บริเวณนั้นก็จะถูกปกคลุมด้วยหิมะ เป็นภาพที่งดงามตราตรึงในความทรงจำไม่รู้ลืมแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม!!
มงส์ (Mons)
เมืองมงส์ (Mons) เป็นเมืองหลวงเล็กๆ ของมณฑลแอโน ในประเทศเบลเยียม มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 95,000 คน เท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากในปี 2015 เมืองมงส์ได้มีการวางแผนเพื่อโปรโมทให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในฐานะของเมืองแห่งศิลปและวัฒนธรรม จนทำให้ปีนั้นเอง เมืองมงส์ได้รับเลือกเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป ว้าว ปรบมือรัวๆ ไม่ธรรมดาจริงๆ ค่ะ แค่ปีเดียวก็คว้ารางวัลไปอย่างง่ายดาย สุดยอดด
ส่วนสถานที่ยอดฮิตเมื่อมาเที่ยวเมืองมงส์ คือ Belfry of Mons เป็นหอระฆังทรงสี่เหลี่ยม ผนังถูกสร้างด้วยอิฐจำนวน 459,000 ก้อน ภายในมีบันไดวนเชื่อมต่อแต่ละชั้น หอระฆังนี้มีความสูง 87 เมตร ข้างในมีระฆังแขวนเรียงรายถึง 49 ใบ ที่นี่ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรกที่ยังเหลืออยู่แห่งเดียวในเมืองนี้ จนได้รับยกย่องเป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 18.00 น. ถ้าขึ้นไปบนสุดของหอระฆัง เราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองมงส์ได้ทั้งหมดเลยล่ะค่ะ
ทัวร์เน (Tournai)
เมืองทัวร์เน (Tournai) หรือในภาษาภาษาดัตช์ เรียกว่า Doornik เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยี่ยม และมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมาย ตั้งอยู่ในเขต Walloon อยู่ห่างจากกรุงบรัสเซลส์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 85 กิโลเมตร
มหาวิหารโนเทรอดาม (Notre-Dame Cathedral) เป็นสถานที่สำคัญของเมืองทัวร์เน มีนักท่องเที่ยวแวะมาอย่างไม่ขาดสาย ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 ตัวอาคารตรงกลางเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ รายล้อมด้วยหอคอยขนาดใหญ่สไตล์โกธิคถึง 5 หลัง ภายในวิหารถูกตกแต่งด้วยกระจกสีเเบบโมเสกไว้อย่างสวยสดงดงาม นอกจากนี้ยังมีภาพวาดโบราณและจิตรกรรมฝาผนังที่มีอายุถึง 700 ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
ในประเทศเบลเยียม เราจะพบว่ามีหอระฆังเยอะมากกก เรียกได้ว่าเจอแทบทุกเมืองเลยก็ว่าได้ค่ะ และแน่นนอนว่าไฮไลท์ของที่นี่อีกอย่างก็คงไม่พ้นหอระฆังอีกนั่นเอง หอระฆังแห่งทัวร์เน (Belfry of Tournai) เป็นหอระฆังสูง 72 เมตร ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยียม จนได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เมื่อขึ้นไปด้านบนสุดของหอระฆัง สามารถมองเห็นวิวของเมืองทัวร์เนทั้งหมดได้อย่างชัดเจน จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุดอีกที่หนึ่งเลยล่ะค่ะ
บรูจส์ (Bruges)
เมืองบรูจส์ (Bruges) เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ฟลานเดอร์ มีความสำคัญทางประวัติศาตร์และศิลปะมากมาย นอกจากนี้ยังโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคแบบดั้งเดิมอีกด้วย เมืองบรูจส์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงทางด้านการค้าและวัฒนธรรมของยุโรป ถ้ามาเที่ยวเมืองนี้ เราจะได้พบกับความสวยงามของลำคลองมากมาย ซึ่งลำคลองพวกนี้ถูกใช้ในการคมนาคมขนส่งต่างๆ จนทำให้เมืองบรูจส์ได้รับการขนานนามว่า “The Venice of the north”
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองบรูจส์ คือ Belfry & Halle เป็นหอระฆังที่มีลักษณะที่โดดเด่น ซึ่งจะตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองบรูจส์เลยค่ะ มองเห็นได้ง่าย เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ของเมืองโดยรอบได้ ภายในตัวอาคารมีจัดนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมา และมีร้านค้าเรียงรายอีกมากมายด้วยค่ะ
อย่างที่เกริ่นๆ มาตอนแรกไว้ว่า เมืองบรูจส์เป็นเมืองที่มีศิลปะและสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และงดงามมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น Basilica of the Holy Blood เป็นโบสถ์สไตล์โรมันและโกธิค เล่ากันว่าโบสถ์แห่งนี้ ได้เก็บรักษาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดและอัฐิของพระเยซูไว้ เมื่อเข้าไปภายใน รับรองว่าจะต้องตะลึงกับความสวยงามของตัวโบสถ์ ตามผนังจะมีภาพวาดเรื่องราวของพระเยซูมากมาย ด้านในสุดจะมีอัฐิวางอยู่บนแท่นบูชาสีทองที่ประดับด้วยเพชรพลอยอย่างงดงาม ด้วยความงดงามและเก่าแก่ของโบสถ์แห่งนี้ ทำให้สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญแวะมาอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ
เกนต์ (Ghent)
เมืองเกนต์ (Ghent) เป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และสถาปัตยกรรมในยุคกลางได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ อนุสาวรีย์ และพิพิธภัณฑ์ ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยก่อน นอกจากนี้วิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำ Leie และ Scheldt ยังเป็นที่กล่าวขานว่าสวยงามราวภาพวาด
เที่ยวชม Belfry of Ghent หอระฆังสูงตระหง่านเอกลักษณ์ของเมืองเกนต์ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 ในสมัยก่อนมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในทางศาสนา และเป็นหอสังเกตการณ์เท่านั้น แต่ต่อมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนให้มีบทบาทสำคัญต่อชาวเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตีระฆังเพื่อประกาศการเปิดตลาด เตือนว่ามีการโจมตี และเพื่อบอกเวลา ซึ่งเราจะได้ยินเสียงระฆังกว่า 50 ใบ ดังก้องพร้อมกัน เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากค่ะ สำหรับเมืองนี้
สถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายอีกแห่งก็คือ ปราสาท Gravensteen เป็น ปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในแฟลนเดอร์ ตัวปราสาทถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและคูเมืองเพื่อป้องกันศัตรูในสมัยก่อน สถานที่แห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสำนักงานศาลและคุกมาก่อน ปัจจุบันได้มีการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในจะมีการจัดแสดงอาวุธต่างๆ ที่เคยใช้ในสงคราม และอุปกรณ์ที่ถูกใช้ในการทรมานนักโทษตอนอยู่ในคุก ให้นักท่องเที่ยวได้ชมและศึกษาประวัติความเป็นมา ปราสาท Gravensteen เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 น. – 18.00 น.
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 10 ยูโร
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 7 ยูโร
นักเรียน/นักศึกษาอายุ 19 – 25 ปี 6 ยูโร
และฟรีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 19 ปี
แอนต์เวิร์ป (Antwerp)
เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากกรุงบรัสเซลส์ มีประชากรกว่าครึ่งล้านคนอาศัยอยู่ที่นี่ เมืองแอนท์เวิร์ปเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นศูนย์กลางการค้าเพชรระดับโลกกก ว้าวว เพชรเกือบ 70% มีการซื้อขายกันที่เมืองแห่งนี้ นอกจากนี้ยังโดดเด่นทั้งเรื่องแฟชั่นแนวอาว็อง-การ์ด และสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคอีกด้วย
ถ้ามาเที่ยวที่นี่ ต้องไม่พลาดไปที่ตลาด Grote Markt คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับช้อปปิ้งและแวะชิมขนมหวานแสนอร่อย รวมทั้งร้านขายช็อคโกแลตอีกมากมาย หรือใครขี้เกียจเดิน จะเลือกนั่งรับประทานอาหารอร่อยๆ ตามด้วยการจิบเบียร์ชิวๆ ชมบรรยากาศโดยรอบ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นอกจากตลาดแล้ว ความใหญ่โตของศาลากลาง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกของ Grote Markt ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายเช่นกัน เป็นสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ที่ผสมผสานสไตล์เฟลมิชเข้ากับอิตาเลียนได้อย่างลงตัว ความสวยงามของสถาปัตยกรรมเหล่านี้ ยิ่งได้มาเห็นตอนยามพระอาทิตย์กำลังตกดิน ประกอบด้วยแสงไฟส่องสว่างออกมาจากตัวอาคาร บอกเลยว่าเป็นบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก เหมาะกับการเดินเล่นหรือทานมื้อค่ำสำหรับคู่รักที่สุดเลยค่าา
อีกสถานที่ที่มีผู้คนแวะเวียนไปเที่ยวกันไม่ขาดสายก็คือ Cathedral of Our Lady เป็นโบสถ์สไตล์โกธิคขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในประเทศเบลเยียม เป็นที่เลื่องลือถึงถึงความงดงามที่ถูกประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ไม่ว่าจะเป็นตัวโบสถ์ ซุ้มประตู รูปปั้น ทางเดิน เรียกได้ว่าทุกอย่างงดงามไร้ที่ติ ด้านในมีจัดแสดงผลงานศิลปะของ Peter Paul Rubens ซึ่งเป็นศิลปินชื่อดัง ชาวแอนท์เวิร์ป เปิดให้ผู้คนที่หลงไหลในงานศิลปะ สามารถเข้าไปชมกันได้ ความงดงามและความอลังการที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ถ้าอยากรู้ว่าสมคำเล่าลือจริงๆ หรือไม่ ต้องลองไปสัมผัสกันเองสักครั้งจ้าา
Leuven
เมือง Leuven คือ เมืองหลวงของ Flemish Brabant อยู่ห่างจากกรุงบรัสเซลส์ประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่อันดับ 8 ของประเทศเบลเยี่ยม มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 100,244 คน
เมือง Leuven เป็นที่รู้จักกันว่ามีมหาวิทยาลัยคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยี่ยมตั้งอยู่ที่นี่ ชื่อว่า มหาวิทยาลัย Katholieke Universiteit Leuven ซึ่งที่นี่เค้าไม่ธรรมดา เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ติด Top 100 ถูกจัดอันดับว่าดีที่สุดในโลก อื้อหือ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเหล่าเด็กหัวกะทิไว้เลยเลยล่ะค่ะ เมื่อเข้าไปในเขตมหาลัย เราจะพบเห็นความใหญ่โตและความโอ่อ่าของอาคารที่เก่าแก่มากมาย เปิดให้ผู้คนสามารถเข้าไปชมความงดงาม หรือไปเก็บรูปสวยๆ กลับบ้านได้ทุกวันเลยค่ะ ถ้าใครแวะผ่านมาแถวๆนี้ อย่าลืมเข้าไปเที่ยวกันนะคะ
ถ้ามาเที่ยวที่เมือง Leuven สถานที่แรกๆ เลยที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกไป คือ The Stadhuis (Town Hall) เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่มีความโดดเด่นและสวยงาม ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 30 ปี รอบๆ ตัวอาคารภายนอกถูกประดับด้วยรูปปั้นแกะสลักจำนวน 236 รูป ขอบอกว่าสวยงามมากก ไม่ว่าจะมาเที่ยวกลางวันหรือกลางคืน ด้วยความสวยงามเหล่านี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลายๆ คนเลยล่ะค่ะ ถ้าชื่มชมความงดงามของ The Stadhuis เสร็จแล้ว เราสามารถเดินหาของอร่อยๆ กินต่อได้เลย เพราะบริเวณรอบๆ อาคารจะรายล้อมไปด้วยร้านอาหารมากมาย ยิ่งบรรยากาศยามค่ำคืนนะคะ บอกเลยว่าโรแมนติดสุดๆ
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St.Peter’s Church) ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้เช่นกัน ลักษณะเด่นของโบสถ์แห่งนี้ คือเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค เสาโบสถ์กับตัวอาคารตั้งตรงสูง และหน้าต่างที่มีลักษณะปลายแหลม ถ้าเข้าไปภายในโบสถ์ รับรองว่าจะต้องหลงใหลกับความสวยงามของที่นี่แน่นอน นอกจากนี้โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ยังเก็บสะสมภาพวาดที่มีชื่อเสียงอยู่หลายภาพ แต่ในส่วนของจัดแสดงภาพวาดต้องจ่ายค่าเข้าชมด้วยนะคะ คนละ 3 ยูโร เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน เวลา 10.00 น. – 16.30 น. อย่าลืมแวะไปเที่ยวชมกันนะคะ
สนใจทัวร์ยุโรป
Tel: 0-2926-3508-9, 0-2903-1406
0-2926-3482,081-694-4926
Email: angeltour.organizer@gmail.com
Id Line: @angeltour, Id Line: angeltour99
================================================